1. 5
ประเภทของไฟฟ้า
แบ่งได้เป็น 2 แบบ ดังนี้
1.
ไฟฟ้าสถิต
ซึ่งเกิดจากการนำวัตถุ 2 ชนิด มาขัดถูหรือเสียดสีกัน วัตถุแต่ละชนิดจะมีประจุไฟฟ้าบวก ( + ) และประจุไฟฟ้าลบ ( - ) อยู่ในตัวเท่า ๆ กัน เรียกว่า เป็นกลาง เมื่อเกิดเสียดสีขึ้นประจุไฟฟ้าลบ ( - ) ที่เบากว่าประจุไฟฟ้าบวก ( + ) ก็จะเคลื่อนที่ระหว่างวัตถุทั้งสอง ทำให้แสดงอำนาจไฟ-ฟ้าขึ้นประจุไฟฟ้าในวัตถุทั้งสอบก็จะไม่เป็นกลางอีกต่อไป วัตถุชนิดหนึ่งแสดงประจุไฟฟ้าบวกและอีกชนิดหนึ่งแสดงประจุไฟฟ้าลบ พลังงานไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดแรงดูดหรือแรงผลัก ถ้านำวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันมาใกล้กันจะเกิดแรงผลักแต่ถ้ามีประจุไฟฟ้าต่างชนิดกันจะเกิดแรงดูดซึ่งกันและกัน เช่น แท่งอาพันจะถ่ายอิเล็กตรอนให้แก่ผ้าขนสัตว์แท่งอาพันจึงมีประจุลบ และผ้าขนสัตว์มีประจุบวก
ซึ่งเกิดจากการนำวัตถุ 2 ชนิด มาขัดถูหรือเสียดสีกัน วัตถุแต่ละชนิดจะมีประจุไฟฟ้าบวก ( + ) และประจุไฟฟ้าลบ ( - ) อยู่ในตัวเท่า ๆ กัน เรียกว่า เป็นกลาง เมื่อเกิดเสียดสีขึ้นประจุไฟฟ้าลบ ( - ) ที่เบากว่าประจุไฟฟ้าบวก ( + ) ก็จะเคลื่อนที่ระหว่างวัตถุทั้งสอง ทำให้แสดงอำนาจไฟ-ฟ้าขึ้นประจุไฟฟ้าในวัตถุทั้งสอบก็จะไม่เป็นกลางอีกต่อไป วัตถุชนิดหนึ่งแสดงประจุไฟฟ้าบวกและอีกชนิดหนึ่งแสดงประจุไฟฟ้าลบ พลังงานไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดแรงดูดหรือแรงผลัก ถ้านำวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันมาใกล้กันจะเกิดแรงผลักแต่ถ้ามีประจุไฟฟ้าต่างชนิดกันจะเกิดแรงดูดซึ่งกันและกัน เช่น แท่งอาพันจะถ่ายอิเล็กตรอนให้แก่ผ้าขนสัตว์แท่งอาพันจึงมีประจุลบ และผ้าขนสัตว์มีประจุบวก
รูปภาพไฟฟ้าสถิต
ที่มา http://electricity-basic.blogspot.com/2012/10/blog-post_26.html
2. ไฟฟ้ากระแส
เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าไหลผ่านตัวนำไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสมีหลายวิธี ได้แก่
เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าไหลผ่านตัวนำไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสมีหลายวิธี ได้แก่
1.2 ไฟฟ้ากระแส เป็นไฟฟ้าที่เกิดจากการไหลของอิเล็กตรอนจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้า
โดยไหล ผ่านตัวนำ ไฟฟ้าไปยังที่ต้องการใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งเกิดขึ้นได้จากแรงกดดัน ความร้อน แสงสว่าง ปฏิกิริยา เคมีและอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้า
ไฟฟ้ากระแสแบ่งเป็น 2 แบบ ดังนี้
1) ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current : DC) เป็นไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลของกระแส
และขนาดคงที่ตลอดเวลา แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรงที่รู้จักกันดี เช่น แบตเตอรี่ถ่านไฟฉาย การเปลี่ยน กระแสไฟฟ้าเป็นไฟฟ้ากระแสตรง
(DC) ต้องใช้ตัวแปลงไฟ ( Adapter)
รูปภาพไฟฟ้ากระแสตรง
ที่มา http://www.vcharkarn.com/vcafe/181991
2) ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current : AC) เป็นไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลของ กระแสสลับไปสลับมาและขนาดเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ไฟฟ้ากระแสสลับได้นำมาใช้ภายในบ้าน สำนักงาน ต่าง ๆ เช่น ระบบแสงสว่าง เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ พัดลม เป็นต้น
รูปภาพไฟฟ้ากระแสสลับ
ที่มา https://geonoi.wordpress.com/tag
การกำเนิดไฟฟ้า
แหล่งกำเนิดไฟฟ้า คือ
อุปกรณ์ที่สามารถจ่ายพลังงานให้แก่ประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนี่ต่อกับแหล่งกำเนิดนั้น
ซึ่งนิยมบอกแรงเคลื่อนที่ไฟฟ้า
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าแบ่งออกได้เป็น
6
วิธีดังนี้
1 เกิดจากการเสียดสี (Friction)
2 เกิดจากการทาปฏิกิริยาทางเคมี (Chemicals)
3 เกิดจากความร้อน (Heat)
4 เกิดจากแสงสว่าง (Light)
5 เกิดจากแรงกดดัน (Pressure)
6 เกิดจากสนามแม่เหล็ก (Magnetism)
1.1 ไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี
ไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี เป็นไฟฟ้าที่ถูกค้นพบมานานกว่า 2,000
ปีแล้ว เกิดขึ้นได้จากการนาวัตถุต่างกัน 2 ชนิดมาขัดสีกัน
เช่น จากแท่งยางกับผ้าขนสัตว์ แท่งแก้วกับผ้าแพร แผ่นพลาสติกกับผ้าและหวีกับผม
เป็นต้น
ที่มา http://www.kpp.ac.th/elearning/elearning3/book-05.html
1.2 ไฟฟ้าเกิดจากการทำปฏิกิริยาทางเคมี
เมื่อนำโลหะ 2 ชนิดที่แตกต่างกันเช่นสังกะสีกับทองแดงจุ่มลงในสารละลายอิเล็กโทรไลท์
โลหะทั้งสองจะทำปฏิกิริยาเคมี กับสารละลายอิเล็กโทรไลท์
โดยอิเล็กตรอน(ประจุลบ)จากทองแดงจะถูกดูดเข้าไปยังขั้วของสังกะสี
เมื่อทองแดงขาดประจุลบจะเปลี่ยนความต่างศักย์ไฟฟ้าเป็นบวกทันทีเรียกว่าขั้วบวก
ส่วนสังกะสีจะเป็นขั้วลบตามความต่างศักย์
ส่วนประกอบของไฟฟ้าเกิดจากการทาปฏิกิริยาทางเคมีแบบเบื้องต้นนี้ ถูกเรียกว่า
โวลตาอิกเซลล์ (Voltaic Cell) ไฟฟ้าเกิดจากการทำปฏิกิริยาทางเคมี
ที่ผลิตขึ้นมาใช้งานจริงนั้น ได้นำเอาหลักการของโวลตาอิกเซลล์ไปใช้งาน
โดยการสร้างเซลล์ไฟฟ้าที่ให้ศักย์ไฟฟ้าสูงมากขึ้นคือให้แรงดันเพิ่มขึ้น
ที่มา http://www.kpp.ac.th/elearning/elearning3/book-05.html
1.3 ไฟฟ้าเกิดจากความร้อน
ไฟฟ้าเกิดจากความร้อน
เกิดขึ้นได้โดยนำแท่งโลหะหรือแผ่นโลหะต่างชนิดกันมา 2 แท่ง หรือ 2 แผ่น เช่น ทองแดง และเหล็ก
นำปลายข้างหนึ่งของโลหะทั้งสองต่อติดกันโดยการเชื่อมหรือยึดด้วยหมุด
ปลายที่เหลืออีกด้านนาไปต่อกับเข้ามิเตอร์วัดแรงดันไฟฟ้า
เมื่อให้ความร้อนที่ปลายด้านต่อติดกันของโลหะทั้งสอง ส่งผลให้เกิดการแยกตัวของประจุไฟฟ้า
เกิดศักย์ไฟฟ้าขึ้นที่ปลายด้านเปิดของโลหะแสดงค่าออกมาที่มิเตอร์
ที่มา http://www.kpp.ac.th/elearning/elearning3/book-05.html
ไฟฟ้าเกิดจากความร้อนที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานจริง
เป็นอุปกรณ์ที่มีชื่อเรียกว่า เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) ใช้เพื่อวัดเกี่ยวกับอุณหภูมิ
จึงมักเรียกว่า ไพโรมิเตอร์ (Pyrometers) คือเป็นมิเตอร์สาหรับวัดอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง
โดยมีเทอร์โมคัปเปิลเป็นตัวตรวจวัดอุณหภูมิส่งแรงดันไฟฟ้าไปแสดงผลที่มิเตอร์
1.4 ไฟฟ้าเกิดจากแสงสว่าง
สารบางชนิดเมื่ออยู่ในที่มืดจะแสดงปฏิกิริยาใด
ๆ ออกมา แต่เมื่อถูกแสงแดดแล้วสารนั้นสามารถที่จะปล่อยอิเล็กตรอนได้ เป็นเวลาหลายสิบปีนักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงพลังงานไฟฟ้าแต่ยังนาแสงสว่างมาใช้ประโยชน์ได้น้อยมาก
1.5 ไฟฟ้าเกิดจากแรงกดดัน
เมื่อเราพูดใส่ไมโครโฟนหรือโทรศัพท์แบบต่าง
ๆ คลื่นของความแรงกดดันของพลังงานเสียงจะทาให้แผ่นไดอะแฟรมเคลื่อนไหว
ซึ่งแผ่นไดอะแฟรมจะทาให้ขดลวดเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็กจึงทาให้เกิดพลังงานไฟฟ้าซึ่งถูกส่งไปตามสายจนถึงเครื่องรับ
ไมโครโฟนที่ใช้กับเครื่องขยายเสียงหรือเครื่องส่งวิทยุก็ใช้หลักการเช่นนี้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามไมโครโฟนทุกชนิดมีหลักการทางานที่เหมือนกัน
คือใช้เปลี่ยนคลื่นแรงกดของเสียงให้เป็นไฟฟ้าโดยตรงนั่นเอง
ผลึกของวัตถุบางอย่างถ้าถูกกดจะทาให้เกิดประจุไฟฟ้าขึ้นได้
ที่มา http://www.kpp.ac.th/elearning/elearning3/book-05.html
1.6 ไฟฟ้าเกิดจากสนามแม่เหล็ก
จากการทดลองของไมเคิล
ฟาราเดย์นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษพบว่าเมื่อนำแท่งแม่เหล็กเคลื่อนที่ผ่านขดลวดหรือนำขดลวดเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็ก
จะเกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดนั้นและยังสรุปต่อไปได้อีกว่ากระแสไฟฟ้า
จะเกิดได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
1) จำนวนขดลวด
ถ้าขดลวดมีจานวนมากก็จะเกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำมากด้วย
2) จำนวนเส้นแรงแม่เหล็ก
ถ้าเส้นแรงแม่มีจานวนมากก็จะเกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำมากด้วย
3) ความเร็วในการเคลื่อนที่ของแม่เหล็ก
ถ้าเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็กเร็วขึ้นก็จะเกิดแรงดันไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
ซึ่งต่อมาได้นาหลักการนี้มาคิดประดิษฐ์เป็นเครื่องกำเนิด ไฟฟ้าหรือเยนเนอเรเตอร์(Generator)หลักการของเครื่องกาเนิดไฟฟ้าอาศัยตัวนาเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็กจะเกิดแรงดันไฟฟ้าขึ้นในลวดตัวนำนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น